
๑. ความเป็นมาแห่งหลักกฎหมายนิติกรรม
ในกลุ่มประเทศที่ใช้ระบบประมวลกฎหมาย (Civil Law) เช่น ฝรั่งเศส เยอรมัน สเปน อิตาลี เป็นต้น มีวิวัฒนาการจากฎหมายโรมัน ซึ่งกฎหมายโรมันไม่มีหลักกฎหมาย “นิติกรรม”โดยตรง รู้จักแต่หลักเกณฑ์เฉพาะของนิติกรรมแต่ละอัน และองค์ประกอบเฉพาะของนิติกรรมแต่ละอันเท่านั้น ทั้งนิติกรรมที่ชาวโรมันรู้จักในยุคแรก ๆ ยังเป็นนิติกรรมที่ยึดติดกับรูปแบบ แสดงตัวอย่าง
ส่วนในกลุ่มประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายจารีตประเพณี (Common Law ) ไม่มีหลักกฎหมายนิติกรรมเลย แต่ใช้หลักกฎหมาย “สัญญา” (Contract) ดังที่นักกฎหมายของอังกฤษได้ให้คำนิยามของ “สัญญา” (Contract) ไว้ว่า “สัญญา คือ ความตกลง (Agreement) ซึ่งก่อให้เกิดหนี้อันบังคับได้ หรือยอมรับโดยกฎหมาย” เมี่อพิจารณาคำนิยามของ “สัญญา” ตามที่นักกฎหมายอังกฎษได้กล่าวไว้นี้จะเห็นได้ว่าใกล้เคียงกับความหมายที่นักกฎหมายโรมันได้กล่าวไว้ในอดีต แสดงตัวอย่าง ก่อนที่ประเทศไทยจะมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) บรรพ ๑ พ.ศ. ๒๔๖๘ประเทศ ไทย มีหลักกฎหมายที่มีสาระสำคัญอันเทียบได้กับนิติกรรมในชื่อต่าง ๆ ตามแต่ลักษณะของกฎหมายกระจัดกระจายกันไป เช่น พระไอยการลักษณะมรดกอันมีบทบัญญัติว่าด้วยพินัยกรรม ซึ่งโดยทางทฤษฎีถือว่าเป็นนิติกรรมฝ่ายเดียว และพระไอยการลักษณะกู้หนี้อันมีบทบัญญัติว่าด้วยสัญญาจะผูกดอกเบี้ย ซึ่งถือว่าเป็นนิติกรรมหลายฝ่าย เป็นต้น
เมื่อมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ จึงมีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชยขึ้น์ในปี พ.ศ. ๒๔๖๘ ประเทศไทยได้ใช้หลักกฎหมายลักษณะสัญญา ( Law of Contract) ของอังกฤษ ต่อมา ประเทศไทยได้มีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๑ ฉบับปี พ.ศ. ๒๔๖๘ ซึ่งได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์ของนิติกรรมไว้ในลักษณะ ๔ ตั้งแต่มาตรา ๑๑๒– ๑๑๕ และลักษณะ ๕ ระยะเวลา ตั้งแต่มาตรา ๑๕๖– ๑๖๒ และลักษณะ ๖ อายุความ ตั้งแต่มาตรา ๑๖๓- ๑๙๓ หลักกฎหมายว่าด้วยนิติกรรมของไทยดังกล่าว ได้เอามาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะหลักเกณฑ์ส่วนใหญ่มาจากประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมัน ซึ่งอยู่ในระบบประมวลกฎหมายทั้งนี้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มี ๖ บรรพ คือบรรพ ๑: หลักทั่วไปบรรพ ๒: หนี้บรรพ ๓: เอกเทศสัญญาบรรพ ๔: ทรัพย์สินบรรพ ๕: ครอบครัวบรรพ ๖: มรดก
๒. ความหมายของนิติกรรม
ความหมายของนิติกรรมบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๔๙ ว่า “นิติกรรม หมายความว่า การใดๆอันทำลงโดยชอบด้วยกฎหมายและด้วยใจสมัคร มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล เพื่อจะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือ ระงับซึ่งสิทธิ”จากบทบัญญัติมาตรา ๑๔๙ และความเห็นของนักนิติศาสตร์ พอจะให้ความหมายของคำว่า “นิติกรรม” (Juristic Act)ได้ว่า“ นิติกรรม คือ การกระทำของบุคคล ซึ่งเกิดจากการแสดงเจตนาของบุคคล อันกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายและด้วยความสมัครใจ ทั้งนี้ การกระทำนั้นต้องมุ่งประสงค์โดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ หรือการก่อให้เกิดผลในกฎหมายระหว่างบุคคล อันได้แก่ความเคลื่อนไหวแห่งสิทธิ กล่าวคือ ก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ” ทั้งนี้ บทบัญญัติในมาตรา ๑๔๙ มีหลักกฎหมายเอกชน (Private Law) ที่สำคัญ คือ หลักอิสระในทางแพ่ง(Pravate Autonomy) แสดงตัวอย่าง
๓. องค์ประกอบของนิติกรรม
ตามบทบัญญัติในมาตรา ๑๔๙ อาจจะแยกองค์ประกอบของนิติกรรมได้ ดังนี้๓.๑ นิติกรรมเป็นการกระทำของบุคคลโดยการแสดงเจตนา ๓.๒ การกระทำนั้นต้องเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย๓.๓ การกระทำนั้นต้องเป็นการกระทำโดยความสมัครใจ ๓.๔ การกระทำนั้นต้องเป็นการกระทำโดยมุ่งจะผูกนิติสัมพันธ์ระหว่างบุคคล๓.๕ การกระทำนั้นต้องก่อให้เกิดผลในการเคลื่อนไหวแห่งสิทธิ
๔. ความสำคัญของนิติกรรม
นิติกรรมมีความสำคัญ ๒ ประการ คือ๑.นิติกรรมเป็นอำนาจหรือเครื่องมือที่กฎหมายมอบให้เอกชน เพื่อสร้างนิติสัมพันธ์ระหว่างกัน.๒.นิติกรรมเป็นพื้นฐานในการศึกษากฎหมายเอกชนในลักษณะต่อไป
๕. นิติกรรมและนิติเหตุ
กฎหมายก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่ระหว่างบุคคล สิทธิ คือ อำนาจ หรือประโยชน์ที่กฎหมายรับรองและคุ้มครองบังคับให้ หน้าที่ คือ หนี้ ที่ผู้ที่มีหน้าที่ซึ่งเป็นฝ่ายลูกหนี้จะต้องปฏิบัติการชำระหนี้ตามสิทธิของเจ้าหนี้ ดังนั้น สิทธิและหน้าที่เป็นเรื่องที่คู่กันเมื่อนิติกรรมกล่าวถึงสิทธิ แม้จะไม่กล่าวถึงหน้าที่ก็เท่ากับว่าได้กล่าวถึงหน้าที่ไปในตัวด้วย เพราะเมื่อนิติกรรมก่อให้เกิดสิทธิแก่ฝ่ายหนึ่งก็จะทำให้เกิดหน้าที่แก่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งไปในตัว
เนื่องจากนิติกรรมเป็นเหตุการณ์ในทางกฎหมาย (Legal Act) หรือเหตุในกฎหมาย หรือนิติเหตุอย่างหนี่ง เมื่อเกิดขึ้นแล้วก่อให้เกิดผลในกฎหมาย คือ การเคลื่อนไหวแห่งสิทธิ แต่นักนิติศาสตร์ก็มีความเห็นที่แตกต่างกันในประเด็นที่ว่า นิติกรรมเป็นส่วนหนึ่งของนิติเหตุในความหมายอย่างกว้าง หรือแยกเหตุการณ์ในกฎหมาย (Legal Act) ออกเป็นนิติกรรมอย่างหนึ่งและนิติเหตุในความหมายอย่างแคบอย่างหนึ่งต่างหากอย่างไรก็ตาม ในที่นี้จะแบ่งแยกเหตุในกฎหมาย หรือเหตุการณ์ในกฎหมาย ออกเป็นนิติกรรมประเภทหนึ่ง และนิติเหตุอีกประเภทหนึ่ง ดังที่ศาสตราจารย์ไชยยศ เหมะรัชตะ กล่าวว่า
“นิติกรรม เป็นเหตุการณ์ในกฎหมายอย่างหนึ่ง อันเกิดขึ้นจากการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายของบุคคล ซึ่งผู้กระทำมีเจตนามุ่งให้การกระทำของตนเกิดผลในกฎหมาย โดยมีการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ หรือก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวแห่งสิทธิตามที่ผู้กระทำประสงค์นิติเหตุ คือ เหตุการณ์ที่ทำให้เกิดผลในกฎหมาย ซึ่งเกิดขึ้นเองโดยอำนาจของกฎหมายนอกจากนิติกรรม ซึ่งเหตุกาณ์เหล่านี้ล้วนจัดเป็นนิติเหตุทั้งสิ้นนิติเหตุอาจแยกได้เป็น นิติเหตุที่เกิดจากการกระทำของบุคคลอย่างหนึ่ง เช่น การทำละเมิดตามมาตรา ๔๒๐ หรือการจัดการงานนอกสั่งตามมาตรา ๓๙๕ เป็นต้น และนิติเหตุที่มิได้เกิดจากการกระทำของบุคคลหรือเกิดขึ้นโดยธรรมชาติอย่างหนึ่ง เช่น การที่บุคคลใดบรรลุนิติภาวะโดยมีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ เป็นต้น”
๖. ประเภทของนิติกรรม
นิติกรรมอาจแบ่งเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ ๓ ประเภท คือ
๖.๑ นิติกรรมฝ่ายเดียวกับนิติกรรมสองฝ่าย
๖.๑.๑ นิติกรรมฝ่ายเดียว
นิติกรรมฝ่ายเดียวได้แก่ นิติกรรมซึ่งเกิดขึ้นโดยการแสดงเจตนาของบุคคลฝ่ายเดียว เมื่อบุคคลฝ่ายเดียวแสดงเจตนาทำนิติกรรมก็เกิดผลเป็นนิติกรรมทันที นิติกรรมฝ่ายเดียวยังแยกออกเป็น
๖.๑.๑.๑ นิติกรรมฝ่ายเดียวโดยเคร่งครัด คือ เมื่อมีการแสดงเจตนาออกมาก็เป็นนิติกรรมทันที เช่น พินัยกรรม (มาตรา ๑๖๔๖) การก่อตั้งมูลนิธิ (มาตรา ๑๑๒) คำมั่นจะให้รางวัล (มาตรา ๓๒๖) เป็นต้น๖.๑.๑.๒ นิติกรรมฝ่ายเดียวซึ่งต้องมีผู้รับการแสดงเจตนา คือ การแสดงเจตนานั้นจะเป็นนิติกรรมได้จะต้องกระทำต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เช่น การเลิกสัญญาต้องทำโดยการแสดงเจตนาแก่คู่สัญญาอีกฝ่าย (มาตรา ๓๖๘) คำมั่นจะซื้อหรือคำมั่นจะขาย(มาตรา ๔๕๔) คำเสนอหรือคำสนอง (มาตรา ๓๕๔ - ๓๖๑) การบอกล้างโมฆียะกรรม (มาตรา ๑๗๕, ๑๖๗) การให้สัตยาบันแก่โมฆียะกรรม (มาตรา ๑๗๗) การรับสภาพหนี้ (มาตรา ๑๙๓/๑๔) การปลดหนี้ (มาตรา ๓๔๙) การหักกลบลบหนี้ (มาตรา ๓๔๑, ๓๔๒) การบอกเลิกสัญญา (มาตรา ๓๘๖) การผ่อนเวลาให้ลูกหนี้ (มาตรา ๗๐๐) เป็นต้น
๖.๑.๒ นิติกรรมหลายฝ่ายหรือบางทีเรียกว่านิติกรรมสองฝ่าย
นิติกรรมหลายฝ่าย ได้แก่ นิติกรรมที่เกิดขึ้นได้โดยการแสดงเจตนาตั้งแต่ ๒ ฝ่ายขึ้นไป แต่ละฝ่ายอาจเป็นบุคคลคนเดียวหรือหลายคนรวมเป็นฝ่ายเดียวก็ได้ ซึ่งนิติกรรมหลายฝ่ายนั้นตามกฎหมายก็คือสัญญานั่นเอง เช่น สัญญาซื้อขาย สัญญาเช่าทรัพย์ สัญญายืม รวมทั้งสัญญาที่มีข้อความอย่างอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในบรรพ ๓ เช่น สัญญาหมั้น สัญญาสมรส ในบรรพ ๕ เป็นต้นด้วย แสดงตัวอย่าง
๖.๒ นิติกรรมที่มีผลเมื่อผู้ทำยังมีชีวิตอยู่กับนิติกรรมที่มีผลเมื่อผู้ทำตายแล้ว
๖.๒.๑ นิติกรรมที่มีผลเมื่อผู้ทำยังมีชีวิตอยู่
นิติกรรมที่มีผลเมื่อผู้ทำยังมีชีวิตอยู่ ได้แก่ นิติกรรมที่ผู้ทำแสดงเจตนาประสงค์จะให้เกิดผลในขณะที่ผู้กระทำยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งอาจเป็นนิติกรรมฝ่ายเดียวหรือนิติกรรมหลายฝ่ายก็ได้ นิติกรรมฝ่ายเดียว เช่น คำมั่นจะให้รางวัล การรับสภาพหนี้ การปลดหนี้ การบอกล้างโมฆียะกรรม การให้สัตยาบันโมฆียะกรรม การบอกเลิกสัญญา ฯลฯ ส่วนที่เกี่ยวกับนิติกรรมหลายฝ่าย เช่น สัญญาต่าง ๆ ตามที่บัญญัติไว้ในบรรพ ๓ กล่าวคือ สัญญาซื้อขาย สัญญาเช่าทรัพย์ สัญญาค้ำประกัน สัญญายืม ฯลฯ
๖.๒.๒ นิติกรรมที่มีผลเมื่อผู้ทำตายแล้ว
นิติกรรมที่มีผลเมื่อผู้ทำตายแล้ว ได้แก่ นิติกรรมประเภทที่ขณะทำแม้จะเกิดผลสมบูรณ์เป็นนิติกรรมแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีผลทางกฎหมายที่จะบังคับให้เป็นไปตามนิติกรรมนั้น จนกว่าผู้ทำนิติกรรมนั้นจะถึงแก่ความตาย เช่น พินัยกรรมตามบรรพ ๖
๖.๓ นิติกรรมที่มีค่าตอบแทนและนิติกรรมที่ไม่มีค่าตอบแทน
๖.๓.๑ นิติกรรมที่มีค่าตอบแทน
นิติกรรมที่มีค่าตอบแทน ได้แก่ นิติกรรม ๒ฝ่าย ซึ่งต่างฝ่ายต่างมีผลประโยชน์ตอบแทนกันซึ่งค่าตอบแทนนี้อาจเป็นประโยชน์หรือทรัพย์สิน หรือการชำระหนี้ตอบแทนก็ได้ เช่น สัญญาซื้อขาย (มาตรา ๔๕๓) สัญญาจ้างแรงงาน (มาตรา ๕๗๕) สัญญาจ้างทำของ (มาตรา ๕๘๗) ฯลฯซึ่งบัญญัติไว้ในบรรพ ๓ และรวมทั้งสัญญาซึ่งไม่ได้บัญญัติไว้ในบรรพ ๓ แต่เกิดขึ้นจากการแสดงเจตนาของบุคคลเกิดเป็นสัญญาขึ้น เช่น สัญญาเล่นแชร์เปียหวย เป็นต้น
๖.๓.๒ นิติกรรมที่ไม่มีค่าตอบแทน
นิติกรรมที่ไม่มีค่าตอบแทน ได้แก่ นิติกรรมที่ทำให้เปล่าไม่มีค่าตอบแทนเลย หรือ นิติกรรมที่ผู้รับการแสดงเจตนาของอีกฝ่ายหนึ่งนั้นไม่ต้องให้ประโยชน์ตอบแทนอีกฝ่ายหนึ่ง เช่น สัญญาให้โดยเสน่หา (มาตรา ๕๒๑) สัญญายืมใช้คงรูป (มาตรา ๖๔๐) สัญญาฝากทรัพย์โดยไม่มีบำเหน็จ (มาตรา ๖๕๙ วรรคหนึ่ง) พินัยกรรม (มาตรา ๑๖๔๘) เป็นต้น
ในกลุ่มประเทศที่ใช้ระบบประมวลกฎหมาย (Civil Law) เช่น ฝรั่งเศส เยอรมัน สเปน อิตาลี เป็นต้น มีวิวัฒนาการจากฎหมายโรมัน ซึ่งกฎหมายโรมันไม่มีหลักกฎหมาย “นิติกรรม”โดยตรง รู้จักแต่หลักเกณฑ์เฉพาะของนิติกรรมแต่ละอัน และองค์ประกอบเฉพาะของนิติกรรมแต่ละอันเท่านั้น ทั้งนิติกรรมที่ชาวโรมันรู้จักในยุคแรก ๆ ยังเป็นนิติกรรมที่ยึดติดกับรูปแบบ แสดงตัวอย่าง
ส่วนในกลุ่มประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายจารีตประเพณี (Common Law ) ไม่มีหลักกฎหมายนิติกรรมเลย แต่ใช้หลักกฎหมาย “สัญญา” (Contract) ดังที่นักกฎหมายของอังกฤษได้ให้คำนิยามของ “สัญญา” (Contract) ไว้ว่า “สัญญา คือ ความตกลง (Agreement) ซึ่งก่อให้เกิดหนี้อันบังคับได้ หรือยอมรับโดยกฎหมาย” เมี่อพิจารณาคำนิยามของ “สัญญา” ตามที่นักกฎหมายอังกฎษได้กล่าวไว้นี้จะเห็นได้ว่าใกล้เคียงกับความหมายที่นักกฎหมายโรมันได้กล่าวไว้ในอดีต แสดงตัวอย่าง ก่อนที่ประเทศไทยจะมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) บรรพ ๑ พ.ศ. ๒๔๖๘ประเทศ ไทย มีหลักกฎหมายที่มีสาระสำคัญอันเทียบได้กับนิติกรรมในชื่อต่าง ๆ ตามแต่ลักษณะของกฎหมายกระจัดกระจายกันไป เช่น พระไอยการลักษณะมรดกอันมีบทบัญญัติว่าด้วยพินัยกรรม ซึ่งโดยทางทฤษฎีถือว่าเป็นนิติกรรมฝ่ายเดียว และพระไอยการลักษณะกู้หนี้อันมีบทบัญญัติว่าด้วยสัญญาจะผูกดอกเบี้ย ซึ่งถือว่าเป็นนิติกรรมหลายฝ่าย เป็นต้น
เมื่อมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ จึงมีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชยขึ้น์ในปี พ.ศ. ๒๔๖๘ ประเทศไทยได้ใช้หลักกฎหมายลักษณะสัญญา ( Law of Contract) ของอังกฤษ ต่อมา ประเทศไทยได้มีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๑ ฉบับปี พ.ศ. ๒๔๖๘ ซึ่งได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์ของนิติกรรมไว้ในลักษณะ ๔ ตั้งแต่มาตรา ๑๑๒– ๑๑๕ และลักษณะ ๕ ระยะเวลา ตั้งแต่มาตรา ๑๕๖– ๑๖๒ และลักษณะ ๖ อายุความ ตั้งแต่มาตรา ๑๖๓- ๑๙๓ หลักกฎหมายว่าด้วยนิติกรรมของไทยดังกล่าว ได้เอามาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะหลักเกณฑ์ส่วนใหญ่มาจากประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมัน ซึ่งอยู่ในระบบประมวลกฎหมายทั้งนี้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มี ๖ บรรพ คือบรรพ ๑: หลักทั่วไปบรรพ ๒: หนี้บรรพ ๓: เอกเทศสัญญาบรรพ ๔: ทรัพย์สินบรรพ ๕: ครอบครัวบรรพ ๖: มรดก
๒. ความหมายของนิติกรรม
ความหมายของนิติกรรมบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๔๙ ว่า “นิติกรรม หมายความว่า การใดๆอันทำลงโดยชอบด้วยกฎหมายและด้วยใจสมัคร มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล เพื่อจะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือ ระงับซึ่งสิทธิ”จากบทบัญญัติมาตรา ๑๔๙ และความเห็นของนักนิติศาสตร์ พอจะให้ความหมายของคำว่า “นิติกรรม” (Juristic Act)ได้ว่า“ นิติกรรม คือ การกระทำของบุคคล ซึ่งเกิดจากการแสดงเจตนาของบุคคล อันกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายและด้วยความสมัครใจ ทั้งนี้ การกระทำนั้นต้องมุ่งประสงค์โดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ หรือการก่อให้เกิดผลในกฎหมายระหว่างบุคคล อันได้แก่ความเคลื่อนไหวแห่งสิทธิ กล่าวคือ ก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ” ทั้งนี้ บทบัญญัติในมาตรา ๑๔๙ มีหลักกฎหมายเอกชน (Private Law) ที่สำคัญ คือ หลักอิสระในทางแพ่ง(Pravate Autonomy) แสดงตัวอย่าง
๓. องค์ประกอบของนิติกรรม
ตามบทบัญญัติในมาตรา ๑๔๙ อาจจะแยกองค์ประกอบของนิติกรรมได้ ดังนี้๓.๑ นิติกรรมเป็นการกระทำของบุคคลโดยการแสดงเจตนา ๓.๒ การกระทำนั้นต้องเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย๓.๓ การกระทำนั้นต้องเป็นการกระทำโดยความสมัครใจ ๓.๔ การกระทำนั้นต้องเป็นการกระทำโดยมุ่งจะผูกนิติสัมพันธ์ระหว่างบุคคล๓.๕ การกระทำนั้นต้องก่อให้เกิดผลในการเคลื่อนไหวแห่งสิทธิ
๔. ความสำคัญของนิติกรรม
นิติกรรมมีความสำคัญ ๒ ประการ คือ๑.นิติกรรมเป็นอำนาจหรือเครื่องมือที่กฎหมายมอบให้เอกชน เพื่อสร้างนิติสัมพันธ์ระหว่างกัน.๒.นิติกรรมเป็นพื้นฐานในการศึกษากฎหมายเอกชนในลักษณะต่อไป
๕. นิติกรรมและนิติเหตุ
กฎหมายก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่ระหว่างบุคคล สิทธิ คือ อำนาจ หรือประโยชน์ที่กฎหมายรับรองและคุ้มครองบังคับให้ หน้าที่ คือ หนี้ ที่ผู้ที่มีหน้าที่ซึ่งเป็นฝ่ายลูกหนี้จะต้องปฏิบัติการชำระหนี้ตามสิทธิของเจ้าหนี้ ดังนั้น สิทธิและหน้าที่เป็นเรื่องที่คู่กันเมื่อนิติกรรมกล่าวถึงสิทธิ แม้จะไม่กล่าวถึงหน้าที่ก็เท่ากับว่าได้กล่าวถึงหน้าที่ไปในตัวด้วย เพราะเมื่อนิติกรรมก่อให้เกิดสิทธิแก่ฝ่ายหนึ่งก็จะทำให้เกิดหน้าที่แก่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งไปในตัว
เนื่องจากนิติกรรมเป็นเหตุการณ์ในทางกฎหมาย (Legal Act) หรือเหตุในกฎหมาย หรือนิติเหตุอย่างหนี่ง เมื่อเกิดขึ้นแล้วก่อให้เกิดผลในกฎหมาย คือ การเคลื่อนไหวแห่งสิทธิ แต่นักนิติศาสตร์ก็มีความเห็นที่แตกต่างกันในประเด็นที่ว่า นิติกรรมเป็นส่วนหนึ่งของนิติเหตุในความหมายอย่างกว้าง หรือแยกเหตุการณ์ในกฎหมาย (Legal Act) ออกเป็นนิติกรรมอย่างหนึ่งและนิติเหตุในความหมายอย่างแคบอย่างหนึ่งต่างหากอย่างไรก็ตาม ในที่นี้จะแบ่งแยกเหตุในกฎหมาย หรือเหตุการณ์ในกฎหมาย ออกเป็นนิติกรรมประเภทหนึ่ง และนิติเหตุอีกประเภทหนึ่ง ดังที่ศาสตราจารย์ไชยยศ เหมะรัชตะ กล่าวว่า
“นิติกรรม เป็นเหตุการณ์ในกฎหมายอย่างหนึ่ง อันเกิดขึ้นจากการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายของบุคคล ซึ่งผู้กระทำมีเจตนามุ่งให้การกระทำของตนเกิดผลในกฎหมาย โดยมีการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ หรือก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวแห่งสิทธิตามที่ผู้กระทำประสงค์นิติเหตุ คือ เหตุการณ์ที่ทำให้เกิดผลในกฎหมาย ซึ่งเกิดขึ้นเองโดยอำนาจของกฎหมายนอกจากนิติกรรม ซึ่งเหตุกาณ์เหล่านี้ล้วนจัดเป็นนิติเหตุทั้งสิ้นนิติเหตุอาจแยกได้เป็น นิติเหตุที่เกิดจากการกระทำของบุคคลอย่างหนึ่ง เช่น การทำละเมิดตามมาตรา ๔๒๐ หรือการจัดการงานนอกสั่งตามมาตรา ๓๙๕ เป็นต้น และนิติเหตุที่มิได้เกิดจากการกระทำของบุคคลหรือเกิดขึ้นโดยธรรมชาติอย่างหนึ่ง เช่น การที่บุคคลใดบรรลุนิติภาวะโดยมีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ เป็นต้น”
๖. ประเภทของนิติกรรม
นิติกรรมอาจแบ่งเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ ๓ ประเภท คือ
๖.๑ นิติกรรมฝ่ายเดียวกับนิติกรรมสองฝ่าย
๖.๑.๑ นิติกรรมฝ่ายเดียว
นิติกรรมฝ่ายเดียวได้แก่ นิติกรรมซึ่งเกิดขึ้นโดยการแสดงเจตนาของบุคคลฝ่ายเดียว เมื่อบุคคลฝ่ายเดียวแสดงเจตนาทำนิติกรรมก็เกิดผลเป็นนิติกรรมทันที นิติกรรมฝ่ายเดียวยังแยกออกเป็น
๖.๑.๑.๑ นิติกรรมฝ่ายเดียวโดยเคร่งครัด คือ เมื่อมีการแสดงเจตนาออกมาก็เป็นนิติกรรมทันที เช่น พินัยกรรม (มาตรา ๑๖๔๖) การก่อตั้งมูลนิธิ (มาตรา ๑๑๒) คำมั่นจะให้รางวัล (มาตรา ๓๒๖) เป็นต้น๖.๑.๑.๒ นิติกรรมฝ่ายเดียวซึ่งต้องมีผู้รับการแสดงเจตนา คือ การแสดงเจตนานั้นจะเป็นนิติกรรมได้จะต้องกระทำต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เช่น การเลิกสัญญาต้องทำโดยการแสดงเจตนาแก่คู่สัญญาอีกฝ่าย (มาตรา ๓๖๘) คำมั่นจะซื้อหรือคำมั่นจะขาย(มาตรา ๔๕๔) คำเสนอหรือคำสนอง (มาตรา ๓๕๔ - ๓๖๑) การบอกล้างโมฆียะกรรม (มาตรา ๑๗๕, ๑๖๗) การให้สัตยาบันแก่โมฆียะกรรม (มาตรา ๑๗๗) การรับสภาพหนี้ (มาตรา ๑๙๓/๑๔) การปลดหนี้ (มาตรา ๓๔๙) การหักกลบลบหนี้ (มาตรา ๓๔๑, ๓๔๒) การบอกเลิกสัญญา (มาตรา ๓๘๖) การผ่อนเวลาให้ลูกหนี้ (มาตรา ๗๐๐) เป็นต้น
๖.๑.๒ นิติกรรมหลายฝ่ายหรือบางทีเรียกว่านิติกรรมสองฝ่าย
นิติกรรมหลายฝ่าย ได้แก่ นิติกรรมที่เกิดขึ้นได้โดยการแสดงเจตนาตั้งแต่ ๒ ฝ่ายขึ้นไป แต่ละฝ่ายอาจเป็นบุคคลคนเดียวหรือหลายคนรวมเป็นฝ่ายเดียวก็ได้ ซึ่งนิติกรรมหลายฝ่ายนั้นตามกฎหมายก็คือสัญญานั่นเอง เช่น สัญญาซื้อขาย สัญญาเช่าทรัพย์ สัญญายืม รวมทั้งสัญญาที่มีข้อความอย่างอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในบรรพ ๓ เช่น สัญญาหมั้น สัญญาสมรส ในบรรพ ๕ เป็นต้นด้วย แสดงตัวอย่าง
๖.๒ นิติกรรมที่มีผลเมื่อผู้ทำยังมีชีวิตอยู่กับนิติกรรมที่มีผลเมื่อผู้ทำตายแล้ว
๖.๒.๑ นิติกรรมที่มีผลเมื่อผู้ทำยังมีชีวิตอยู่
นิติกรรมที่มีผลเมื่อผู้ทำยังมีชีวิตอยู่ ได้แก่ นิติกรรมที่ผู้ทำแสดงเจตนาประสงค์จะให้เกิดผลในขณะที่ผู้กระทำยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งอาจเป็นนิติกรรมฝ่ายเดียวหรือนิติกรรมหลายฝ่ายก็ได้ นิติกรรมฝ่ายเดียว เช่น คำมั่นจะให้รางวัล การรับสภาพหนี้ การปลดหนี้ การบอกล้างโมฆียะกรรม การให้สัตยาบันโมฆียะกรรม การบอกเลิกสัญญา ฯลฯ ส่วนที่เกี่ยวกับนิติกรรมหลายฝ่าย เช่น สัญญาต่าง ๆ ตามที่บัญญัติไว้ในบรรพ ๓ กล่าวคือ สัญญาซื้อขาย สัญญาเช่าทรัพย์ สัญญาค้ำประกัน สัญญายืม ฯลฯ
๖.๒.๒ นิติกรรมที่มีผลเมื่อผู้ทำตายแล้ว
นิติกรรมที่มีผลเมื่อผู้ทำตายแล้ว ได้แก่ นิติกรรมประเภทที่ขณะทำแม้จะเกิดผลสมบูรณ์เป็นนิติกรรมแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีผลทางกฎหมายที่จะบังคับให้เป็นไปตามนิติกรรมนั้น จนกว่าผู้ทำนิติกรรมนั้นจะถึงแก่ความตาย เช่น พินัยกรรมตามบรรพ ๖
๖.๓ นิติกรรมที่มีค่าตอบแทนและนิติกรรมที่ไม่มีค่าตอบแทน
๖.๓.๑ นิติกรรมที่มีค่าตอบแทน
นิติกรรมที่มีค่าตอบแทน ได้แก่ นิติกรรม ๒ฝ่าย ซึ่งต่างฝ่ายต่างมีผลประโยชน์ตอบแทนกันซึ่งค่าตอบแทนนี้อาจเป็นประโยชน์หรือทรัพย์สิน หรือการชำระหนี้ตอบแทนก็ได้ เช่น สัญญาซื้อขาย (มาตรา ๔๕๓) สัญญาจ้างแรงงาน (มาตรา ๕๗๕) สัญญาจ้างทำของ (มาตรา ๕๘๗) ฯลฯซึ่งบัญญัติไว้ในบรรพ ๓ และรวมทั้งสัญญาซึ่งไม่ได้บัญญัติไว้ในบรรพ ๓ แต่เกิดขึ้นจากการแสดงเจตนาของบุคคลเกิดเป็นสัญญาขึ้น เช่น สัญญาเล่นแชร์เปียหวย เป็นต้น
๖.๓.๒ นิติกรรมที่ไม่มีค่าตอบแทน
นิติกรรมที่ไม่มีค่าตอบแทน ได้แก่ นิติกรรมที่ทำให้เปล่าไม่มีค่าตอบแทนเลย หรือ นิติกรรมที่ผู้รับการแสดงเจตนาของอีกฝ่ายหนึ่งนั้นไม่ต้องให้ประโยชน์ตอบแทนอีกฝ่ายหนึ่ง เช่น สัญญาให้โดยเสน่หา (มาตรา ๕๒๑) สัญญายืมใช้คงรูป (มาตรา ๖๔๐) สัญญาฝากทรัพย์โดยไม่มีบำเหน็จ (มาตรา ๖๕๙ วรรคหนึ่ง) พินัยกรรม (มาตรา ๑๖๔๘) เป็นต้น

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น